ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

โรคติดอินเทอเน็ต (Webaholic)

โรคติดอินเทอร์เน็ต เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S Youngได้ศึกษา และวิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็น
อาการติดอินเทอร์เน็ต

1. รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาไม่ได้ใช้งาน
        2. มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
        3. ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้
       4. รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
       5. ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเทอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
       6. หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตัวเอง

รูปแบบและลักษณะของการติดอินเทอร์เน็ต
1.    Cyber Sexual Addiction : การติดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ เช่น การดูเว็บโป๊
2.    Cyber-Relationship Addiction : การคบเพื่อนจากห้องแชตรูมหรือ
         เว็บบอร์ด  โดยนำมาทดแทนเพื่อนหรือครอบครัวในชีวิตจริง
3.    Net Compulsion : การติดการพนัน, การประมูลสินค้า, การซื้อ-ขายทางอินเทอร์เน็ต
4.    Information Overload : การติดการรับข้อมูลข่าวสาร จนไม่สามารถยับยั้งได้
5.    Computer Addition : การใช้คอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ไม่สามารถยับยั้งใจได้ เช่น การเล่นเกมออนไลน์


อ้างอิง

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร


ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นปัญหาที่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เกือบทุกคนเคยประสบมาแล้วกันทั้งนั้น จะอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าท่านจะเคยมี ประ สบการณ์ที่โดนไวรัสคอมพิวเตอร์คุกคามระบบมาแล้ว แต่ทราบกันหรือไม่ว่า ในความจริงแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร และเข้ามาคุก คามระบบคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร วิธีแก้ไขระบบที่ถูกคุกคามเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะให้ระบบปลอดภัยจากไวรัส คอมพิวเตอร์ ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับแวดวง คอมพิวเตอร์มานาน และศึกษาด้าน Computer Security จึงจะขอนำความรู้ มาเผยแพร่ ให้ทุกคนได้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์เบื้องต้นพอสังเขป เพื่อที่จะสามารถป้องกันระบบจากการที่ถูกไวรัส คอมพิว เตอร์คุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร?
ในอดีตคำว่า " ไวรัสคอมพิวเตอร์ " เป็นนิยามของโปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์ และ สามารถแพร่กระจายตัวเองจากไฟล์หนึ่งไปยังไฟล์อื่น ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ไม่สามารถที่จะแพร่กระจายข้ามเครื่องคอมพิว เตอร์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์สามารถแพร่กระจายข้ามเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นั้น มีสาเหตุมาจากการที่ผู้ใช้ นำไฟล์ที่ติด ไวรัสไปใช้บนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น โดยผ่าน สื่อบันทึกต่าง ๆ เช่น Diskette หรือ CD เป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป ไวรัสคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนา รูปแบบเทคนิคการ แพร่กระ จาย ความสามารถ รวมทั้งมีความรุนแรง ในการก่อความเสียหายให้กับ ระบบ ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ดังนั้น ปัจจุบัน คำว่า " ไวรัสคอมพิวเตอร์ " จึงมีความหมายที่กว้างขึ้นไปจากเดิมมาก และมีการ บัญญัติคำศัพท์ขึ้นมาใหม่ว่า " มัลแวร์ " ( Malware : Malicious Software ) ซึ่งหมายถึง ชุดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ โปรแกรม หรือ ซอฟต์แวร์ใด ๆ ที่ได้รับการจัดทำขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมาย ที่จะสร้างความเสียหายให้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่ายคอมพิว เตอร์ และอาจมีความสามารถในการเคลื่อนที่จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีก เครือข่าย หนึ่งได้ด้วยตัวเอง นั่นคือปัจจุบัน " ไวรัสคอมพิวเตอร์ " ถูกนำมาใช้ในความหมายของ " มัลแวร์ " กันอย่างกว้างขวาง

ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามระบบได้อย่างไร?
โดยปกติแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามระบบได้เนื่องจากสาเหตุหลัก ๆ 3 ประการ ดังต่อไปนี้


1.มีการเรียกใช้งานไฟล์ที่มีไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่
ในส่วนของสาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี นอกจากการฝังตัวอยู่กับไฟล์ของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นรูปแบบของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบบยุคต้น ๆ แล้วนั้น ในปัจจุบันนี้ ไวรัสคอมพิวเตอร์มักจะใช้ หลัก จิตวิทยาที่เรียกว่า " Social Engineering " เพื่อทำการล่อลวงให้ ผู้ใช้งานเรียกเปิดไฟล์ที่มีไวรัสแฝงมา เช่น แฝงมาในรูปแบบของการ์ดอวยพร หรือโปรแกรม Screen Saver หรือแฝงอยู่ในไฟล์ที่ได้ รับมาจากบุคคลที่เรารู้จัก หรือไวรัสอาจแอบแฝงอยู่ในรูปแบบของ Link ตามเว็ปไซต์ต่าง ๆ เพื่อที่จะหลอกให้เรา Click เพื่อเรียกใช้ งาน เป็นต้น

2.ระบบที่ไม่มีการติดตั้งโปรแกรม Anti Virus หรือมีการใช้งานโปรแกรม Anti Virus แต่ไม่ได้ทำการ update ฐานข้อมูลไวรัส
นี่ก็เป็นสาเหตุหลักอีกสาเหตุหนึ่งของการที่ระบบถูกไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาคุกคามคือการที่ ระบบไม่มีการใช้งานโปรแกรม Anti Virus หรือมีการใช้งานโปรแกรม Anti Virus แต่ไม่ได้ทำการ update ฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยอยู่เสมอ Software Anti Virus ส่วนใหญ่จะสามารถต่อต้านการคุกคามจากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมรู้จัก ซึ่งจะได้รับการจัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลไวรัส คอมพิวเตอร์ ( Virus Definition Database ) ซึ่งจำเป็นต้องมีการ update ฐานข้อมูลดังกล่าวนี้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้โปรแกรมรู้จักและก็ สามารถที่จะต่อต้านไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ ๆ ได้ หลาย ๆ คนมีความเชื่อที่ผิด ๆ ว่า หากมีการติดตั้ง Software Anti Virus บนระ บบแล้ว ไวรัสคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเข้ามาคุกคามระบบได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด

3.ระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนระบบมีช่องโหว่ ( Vulnerbilities ) พร้อมทั้งระบบมีการเชื่อมต่อเข้ากับ เครือข่าย
สำหรับสาเหตุในส่วนของการที่ระบบมีช่องโหว่นั้น ยังไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจและตระหนักถึงกัน อย่างถ่องแท้มากนัก ในความเป็นจริงระบบ ปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ ที่ทำงานอยู่บนระบบ มักจะมีช่องโหว่ อยู่ทั้งสิ้น ซึ่งมักจะมีผู้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ ๆ ของระบบอยู่เรื่อย ๆ อย่างต่อ เนื่องเป็นประจำ ช่องโหว่ ( Vulnerbilities ) มีความหมายคล้าย ๆ กับจุดบกพร่อง ( Bugs ) ของระบบโดยรวม ๆ แล้วช่องโหว่หมายถึง การที่ระบบมีช่องทางให้ผู้โจมตีสามารถเข้ามาครอบครอง ควบคุมการทำงาน นำไวรัสคอมพิวเตอร์มาเรียกใช้งาน หรือว่าจะทำการบาง อย่างบนระบบได้ ซึ่งช่องโหว่เหล่านี้เป็นช่องทาง ให้ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือผู้ที่ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าไปในระบบ ผ่านทางเครือข่าย ได้ และการที่ระบบมีช่องโหว่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า " อยู่ดี ๆ เครื่องก็ติดไวรัส " นั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะทราบที่มาและสาเหตุของไวรัสตัวร้ายแล้วใช่ไหมครับ คราวนี้ก็ถึงเวลาแล้วหละครับ ที่เราจะมาดูแลรักษา เครื่องของเราให้รอดพ้นจากเจ้าวายร้ายทั้งหลาย ซึ่งปัจจุบันไวรัสก็มีอยู่มากมายและแพร่กระจายได้ง่ายและเร็วเหลือเกิน อย่าลืมดูแล เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณให้ดีนะคร๊าบบบ

อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

อุปกรณ์พื้นฐาน

สถาปัตยกรรมของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ประกอบด้วย
     ส่วนอุปกรณ์ หมายถึง ชิ้นส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้างที่เกี่ยวข้องต่างๆ
ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่สำคัญคือ หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำหลัก หน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล และหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
     1 หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หน่วยประมวลผลกลางหรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ซีพียู (CPU) เป็นหน่วยที่เปรียบเสมือนสมองของระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นหน่วยที่มีความซับซ้อนมากที่สุด ส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน่วยประมวลผลกลางเป็นตัวกำหนดความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลผลกลางรุ่นใหม่ ๆ จะมีขนาดเล็กลงในขณะที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น
     2 หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
          2.1 หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory)
          2.2 หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory)
     3 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลัก ปัจจุบันมีสื่อต่าง ๆ ให้เลือกใช้ได้มากมาย แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
          3.1 อุปกรณ์แบบกด (Keyed Device) แป้นพิมพ์ (Keyboard) แบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกันคือ แป้นอักขระ (Character Keys) แป้นควบคุม (Control Keys) แป้นฟังก์ชัน (Function Keys) แป้นตัวเลข (Numeric Keys)
          3.2 อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง (Pointing Device) เช่น เมาส์ (Mouse) ลูกกลมควบคุม (Track ball) แท่งชี้ควบคุม (Track Point) แผ่นรองสัมผัส (Touch Pad) จอยสติก (Joy stick) เป็นต้น
          3.3 จอภาพระบบไวต่อการสัมผัส (Touch-Sensitive Screen) เช่น จอภาพระบบสัมผัส (Touch screen)
         3.4 ระบบปากกา (Pen-Based System) เช่น ปากกาแสง (Light pen) เครื่องอ่านพิกัด (Digitizing tablet)
         3.5 อุปกรณ์กวาดข้อมูล (Data Scanning Device) เช่น เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink Character Recognition - MICR) เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด (Bar Code Reader) สแกนเนอร์ (Scanner) เครื่องรู้จำอักขระด้วยแสง (Optical Character Recognition - OCR) เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง (Option Mark Reader -OMR) กล้องถ่ายภาพดิจิตอล (Digital Camera) กล้องถ่ายทอดวีดีโอดิจิตอล (Digital Video)
        3.6 .อุปกรณ์รู้จำเสียง (Voice Recognition Device) เช่น อุปกรณ์วิเคราะห์เสียงพูด (Speech Recognition Device)
     4 หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
         4.1.หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy) หมายถึงการแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง
         4.2 หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึงการแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ
      5 หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit) เนื่องจากแรมเป็นหน่วยความจำที่ไม่ได้เก็บข้อมูลอย่างถาวร ถ้าปิดเครื่องหรือไฟดับข้อมูลก็หายไป ดังนั้นถ้าผู้ใช้มีข้อมูลอยู่ในแรมก็จะต้องทำการจัดเก็บข้อมูล โดยย้ายข้อมูลจากหน่วยความจำไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างถาวร เก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากได้ แต่ความเร็วในการอ่านและบันทึกข้อมูลของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะต่ำกว่าแรมมาก ดังนั้นจึงควรทำงานให้เสร็จก่อนจึงย้ายข้อมูลนั้นไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
     6 ส่วนประกอบอื่น ๆ
          6.1 แผงวงจรหลัก (Main Board)
          6.2 ส่วนเชื่อมต่ออุปกรณ์ (Peripheral Inteface)
          6.3 อุปกรณ์พีซีการ์ด (PC-Card)
          6.4 อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล (Data communication device)
          6.5 ยูพีเอส (UPS)





อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

ฮาร์ดดิสก์

ประวัติ
     ฮาร์ดดิสก์ที่มีกลไกแบบปัจจุบันถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2499 โดยนักประดิษฐ์ยุคบุกเบิกแห่งบริษัทไอบีเอ็ม เรย์โนล์ด จอห์นสัน โดยมีความุเริ่มแรกที่ 100kb มีขนาด 20 นิ้ว


ขนาดและความจุ
     ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 จิกะไบต์ ถึง 1.5 เทระไบต์
  • ขนาดความหนา 8 inch: 9.5 นิ้ว×4.624 นิ้ว×14.25 นิ้ว (241.3 มิลลิเมตร×117.5 มิลลิเมตร×362 มิลลิเมตร)
  • ขนาดความหนา 5.25 inch: 5.75 นิ้ว×1.63 นิ้ว×8 นิ้ว (146.1 มิลลิเมตร×41.4 มิลลิเมตร×203 มิลลิเมตร)
 
 
รุ่นและขนาดฮาร์ดดิสตั้งแต่ 8″ 5.25″ 3.5″ 2.5″ 1.8″ และ 1″
ปัจจุบันภายในปี 2551 มีประเภทของฮาร์ดดิสก์ต่อไปนี้
  • ขนาดความหนาขนาดความหนา 3.5 นิ้ว = 4 นิ้ว×1 นิ้ว×5.75 นิ้ว (101.6 มิลลิเมตร×25.4 มิลลิเมตร×146 มิลลิเมตร) = 376.77344cm³
เป็นฮาร์ดดิสก์ สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ Desktop PC หรือคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ Server ความเร็วในการหมุนจาน 10,000 7,200 5,400 RPM ตามลำดับ โดยมีความจุในปัจจุบันตั้งแต่ 80 GB ถึง 1 TB
  • ขนาดความหนา 2.5 = 2.75 นิ้ว× 0.374–0.59 นิ้ว×3.945 นิ้ว (69.85 มิลลิเมตร×9.5–15 มิลลิเมตร×100 มิลลิเมตร) = 66.3575cm³-104.775cm³
นิ้วเป็นฮาร์ดดิสก์ สำหรับคอมพิวเตอร์พกพา Notebook , Laptop ,UMPC,Netbook, อุปกรณ์มัลติมีเดียพกพา ความเร็วในการหมุนจาน 5,400 RPM โดยมีความจุในปัจจุบันตั้งแต่ 60 GB ถึง 320 GB
  • ขนาดความหนา1.8 นิ้ว: 54 มิลลิเมตร×8 มิลลิเมตร×71 มิลลิเมตร= 30.672cm³
  • ขนาดความหนา1 นิ้ว: 42.8 มิลลิเมตร×5 มิลลิเมตร×36.4 มิลลิเมตร
  • ขนาดความหนา0.85 นิ้ว: 24 มิลลิเมตร×5 มิลลิเมตร×32 มิลลิเมตร
ยิ่งมีความจุมาก ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยความต้องการของตลาดในปัจจุบันที่ต้องการแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความจุในปริมาณมาก มีความน่าเชื่อถือในด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และไม่จำเป็นต้องต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่ใหญ่กว่าอันใดอันหนึ่งได้นำไปสู่ฮาร์ดดิสก์รูปแบบใหม่ต่างๆ เช่นกลุ่มจานบันทึกข้อมูลอิสระประกอบจำนวนมากที่เรียกว่าเทคโนโลยี RAID รวมไปถึงฮาร์ดดิสก์ที่มีลักษณะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย เพื่อที่ผู้ใช้จะได้สามารถเข้าถึงข้อมูลในปริมาณมากได้ เช่นฮาร์ดแวร์ NAS network attached storage เป็นการนำฮาร์ดดิสก์มาทำเป็นเครื่อข่ายส่วนตัว และระบบ SAN storage area network เป็นการนำฮาร์ดดิสก์มาเป็นพื้นที่ส่วนกลางในการเก็บข้อมูล





อ้างอิง
 http://www.intel.com/th_TH/consumer/products/storage.htm

Intel ต่างๆ ที่แรงได้้ใจ


Core i3 i5 i7 คืออะไร

Intelประกาศเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Core i5 และ Core i3
อินเทลแอบเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Core i5 กับ Core i3 แบบเงียบๆในblogs นี้ ซึ่งรายละเอียดที่มีนั้นน้อยมาก แต่ก็พอถอดรายละเอียดคร่าวๆ ของแผนการเกี่ยวกับแบรนด์ใหม่ของอินเทลได้ดังต่อไปนี้ครับ

แบรนด์ใหม่ของอินเทล จะถูกแบ่งตามประสิทธิภาพที่ได้ ไล่จากสูงสุด Core i7 ไป Core i5 และสุดท้าย Core i3 ตามลำดับ
แบรนด์ Core 2 Duo และ Core 2 Quad กำลังจะถูกทำให้หายไปจากตลาด
แบรนด์ระดับล่างอย่าง Pentium ,Celeron และ Atom จะยังคงอยู่ในตลาดต่อไป
แบรนด์Centrino จะหายไป แต่ผลิตภัณฑ์ WiFiและWIMAX ของอินเทลจะคงอยู่ในตลาดต่อไปจนถึงปี ค.ศ.2010
สิ่งที่แบ่งแยกแบรนด์ใหม่ของCPUของอินเทล ว่าตัวไหนจะเป็น Core i7 ,Core i5 หรือCore i3 พอจะแยกแยะออกมาได้ดังตารางต่อไปนี้ เริ่มจาก Desktop CPU ก่อนนะครับ

Desktop Processor Cores Threads Turbo
Intel Core i7 4 8 Yes
Intel Core i5 2 or 4 4 Yes
Intel Core i3 2 or 4 4 No

ซึ่งใน Socket LGA-1366 จะมีแต่CPU ที่เป็น Core i7 เท่านั้น และ Socket LGA-1156 ที่กำลังจะออกมาใหม่ จะมีทั้งCPUที่มาในแบรนด์ Core i7 ,Core i5 และ Core i3 ซึ่งนั่นก็หมายความว่า CPU ที่มีCodenameว่า Lynnfield ที่จะใช้กับLGA-1156 จะถูกซอยรุ่นออกมาตั้งแต่ Core i7 จนถึง Core i3 ตามความสามารถที่ลดทอนกันลงไปตามตาราง โดยCore i7 บนSocket LGA-1156 จะมาในซีรีย์ 8XX ซึ่งCore i7 เดิมบนSocket LGA-1366 จะเป็นซีรีย์ 9XX ดังที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ ส่วนCore i5 จะมาในซีรีย์ 6XX และCore i3 จะมาในซีรีย์ 5XX ตามลำดับ…


Mobile Processor Cores Threads Turbo
Intel Core i7 2 or 4 4 or 8 Yes
Intel Core i5 2 or 4 4 Yes
Intel Core i3 2 or 4 4 No

มาดูในส่วนของMobile CPU กันต่อนะครับ ซึ่งจะคุณสมบัติจะถูกลดทอนลงให้แตกต่างกับDesktop CPU เล็กน้อยตามตาราง เพื่อช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานและลดความร้อนนั่นเอง

Desktop Processor Clock Speed Max Turbo (# of Cores Active)
4C 3C 2C 1C
Intel Core i7 870 2.93GHz 3.20GHz 3.20GHz 3.46GHz 3.60GHz

มาดูตัวอย่างของCore i7 บนSocket LGA-1156กันต่อ ซึ่งอย่างที่เราพอจะทราบกันในตอนนี้ว่า Socket LGA-1156ระบบMemoryจะเป็นแบบ Dual Channel ซึ่งจะทำให้Memory Bandwidth โดยรวมยังไงก็คงสู้ Core i7 บนSocket LGA-1366ไม่ได้ แต่Core i7 บนSocket LGA-1156 กลับมีทีเด็ดที่เหนือกว่า Core i7 บนSocket LGA-1366 ตรงคุณสมบัติTurbo Mode ที่จะผันแปรไปตามลักษณะการใช้งานอย่างหลากหลายมากกว่าเดิมมากๆ กล่าวคือ ขณะที่ไม่ทำงานครบทั้ง4Cores 8Threads ความเร็วClock Speed ของตัว CPU จะถูกดันสูงขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนการใช้งานของCoresที่น้อยลง โดยClock Speed สูงสุดขณะทำงานที่Coreเดียว จะพุ่งจากเดิมตามSpecที่2.93GHz ไปถึง 3.60Ghz หรือเกือบ23%ของความเร็วตามSpecเลยทีเดียว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
อ้างอิง

ระบบ LAN

1. ความหมายของระบบ LAN

          ย่อมาจาก Local Aria Network ซึ่งแปลได้ว่า “ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก” ที่ต้องประกอบด้วย Server และ Client โดยจะต้องมีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการและผู้ใช้โดยที่ผู้ให้บริการซึ่งเป็น Server นั้น จะเป็นผู้ควบคุมระบบว่าจะให้การทำให้การทำงานเป็นเช่นไร และในส่วนของ Server เองจะต้องเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสถานะภาพสูง เช่นทำงานเร็ว สามารถอ้างหน่วยความจำได้มาก มีระดับการประมวลผลที่ดี และจะต้องเป็นเครื่องที่จะต้องมีระยะการทำงานที่ยาวนาน เพราะว่า Server จะถูกเปิดให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง

2. วัตถุประสงค์ของระบบ LAN

          ระบบ LAN ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันในวงที่ไม่ใหญ่โตนัก โดยจะมีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ต่อเข้าเพื่อขอใช้บริการ ดังนั้นในระบบ LAN จึงเป็นลักษณะที่ผู้ใช้หลายบุคคลมาใช้ข้อมูลร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่างๆ ตามหัวข้อต่อไปนี้
    1. แบ่งการใช้แฟ้มข้อมูล
    2. ปรับปรุงและจักการแฟ้มข้อมูลได้ง่าย
    3. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
    4. สามารถใช้แฟ้มข้อมูลที่อยู่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว
    5. การแบ่งปันการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ โมเด็ม CD-ROM ฯลฯ
    6. การแบ่งปันการใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์
    7. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
    8. ควบคุมและดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย
    9. สามารถรวมกลุ่มผู้ใช้ ข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว
    10. เพื่อการติดต่อสื่อสาร ของผู้ใช้เช่น บริการ Email ,Talk ฯลฯ
          ดังนั้น ระบบ LAN จึงเป็นที่นิยมกันในส่วนของ บริษัท สถานศึกษา และหน่วยงาน ต่างๆ มากมาย ซึ่งจะให้ผลที่คุ้มค่าในระยะยาวนาน

3. การเชื่อมโยง เครือข่ายของระบบ LAN
          มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง โครงข่ายของระบบเครือข่าย (Topology) และ โพรโตคอล ที่ใช้ในระบบ LAN และจะกล่าวถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN และซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN มีดังต่อไปนี้
    3.1 โครงข่ายของระบบเครือข่าย(Topology)
    3.2 โพรโตคอลที่ใช้ในระบบ LAN
    3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
    3.4 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
3.1 โครงข่ายของระบบเครือข่าย (Topology)
          เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายของระบบ LAN วิธีหนึ่ง ซึ่งนิยมใช้กันแพร่หลายสามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน คือ

3.1.1 แบบดาว (Star) 3.1.2 แบบวงแหวน (Ring) 3.1.3 แบบบัส และ ทรี (Bus and Tree)

          3.1.1 แบบดาว (Star)   ในโทโปโลยี แบบดาว นั้นจะเป็นลักษณะของการต่อเครือข่ายที่ Work station แต่ละตัวต่อรวมเข้าสู่ศูนย์กลางสวิตซ์ เพื่อสลับตำแหน่งของเส้นทางของข้อมูลใด ๆ ในระบบ ดังนั้นใน โทโปโลยี แบบดาว คอมพิวเตอร์จะติดต่อกันได้ใน 1 ครั้ง ต่อ 1 คู่สถานีเท่านั้น เมื่อสถานีใดต้องการส่งข้องมูลมันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางสวิทซ์ก่อน เพื่อบอกให้ศูนย์กลาง สวิตซ์มันสลับตำแหน่งของคู่สถานีไปยังสถานีที่ต้องการติดต่อด้วย ดังนั้นข้อมูลจึงไม่เกิดการชนกันเอง ทำให้การสื่อสารได้รวดเร็วเมื่อสถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ทั้งระบบจึงยังคงใช้งานได้ ในการค้นหาข้อบกพร่องจุดเสียต่างๆ จึงหาได้ง่ายตามไปด้วย แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าต้องใช้งบประมาณสูงในการติดตั้งครั้งแรก
       
          3.1.2 แบบวงแหวน (Ring)   ในโทโปโลยี(รูปแบบการเชื่อมต่อ) แบบวงแหวน(Ring) นั้น ได้ถูกออกแบบให้ใช้ Media Access Units (MAU) ต่อรวมกันแบบเรียงลำดับเป็นวงแหวน แล้วจึงต่อ คอมพิวเตอร์ (PC) ที่เป็น Workstation หรือ Server เข้ากับ MAU ใน MAU 1 ตัวจะสามารถต่อออกไปได้ถึง 8 สถานี เมื่อสถานีถัดไปนั้นรับรู้ว่าต้องรับข้อมูล แล้วมันจึงส่งข้อมูลกลับ เป็นการตอบรับ เมื่อสถานีที่จะส่งข้อมูลได้รัยสัญญาณตอบรับ แล้วมันจึงส่งข้อมูลครั้งแรก แล้วมันจะลบข้อมูลออกจากระบบ เพื่อให้ได้ใช้ข้อมูลอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นทุกสถานีบน โทโปโลยี วงแหวนจะได้ทำงานทั้งหมดซึ่งจะคอยเป็นผู้รับและผู้ส่งแล้วยังเป็นรีพีทเตอร์ในตัวอีกด้วย ข้อมูลที่ผ่านไปแต่ละสถานี นั้น ข้อมูลที่เป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงกับ สถานีใด สถานีนั้นจะรับข้อมูลเก็บไว้ แต่มันจะไม่ลบข้อมูลออกจากระบบ มันยังคงส่งข้อมูลต่อไป ดังนั้นผู้ส่งข้อมูลครั้งแรกเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลบข้อมูลออกจากระบบ ครั้นเมื่อสถานีส่ง TOKEN มาถามสถานีถัดไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ สถานีส่ง TOKEN จะทวนซ้ำข้อมูลเป็นครั้งที่สอง ถ้ายังคงไม่ได้รับคำตอบ จึงส่งข้อมูลออกไปได้ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ไม่ให้ระบบหยุดชะงักการทำงานลงของระบบ เนื่องจากสถานีหนึ่งเกิดการเสียหาย หรือชำรุด ระบบจึงยังคงสามารถทำงานต่อไปได้

          3.1.3 แบบบัส (Bus)  ในโทโปโลยี แบบบัส และทรี (Bus and Tree) นั้นได้มีการทำงานที่คล้ายกันกล่าวคือ แบบบัส จะมีเคเบิลต่อถึงกันแบบขนาน ของแต่ละโหนด ส่วนแบบทรีนั้น จะมีการต่อแยกออกเป็นสาขาออกไปจากเคเบิลที่ใช้แบบบัสนั้นเอง ดังนั้นเมื่อมีการส่งข้อมูลจากโหนดใดทุกๆ โหนดบนระบบข้อมูลจะเข้าถึงได้ เนื่องจากอยู่บนเส้นทางสื่อสารเดียวกัน ในการส่งข้อมูลนั้น จะส่งเป็นเฟรม ข้อมูลซึ่งจะมีที่อยู่ของผู้รับติดไปด้วย เมื่อที่อยู่ผู้รับตรงกับ ตำแหน่งของโหนดใดๆ บนระบบ โหนดนี้จะรับข้อมูลเข้าไป และส่งข้อมูลมาพร้อมกันนั้นจะเกิดการชนกันของข้อมูล แล้วจะสุ่มเวลาขึ้นใหม่เพื่อส่งข้อมูลต่อไป ในการสื่อสารตามมาตรฐาน 802.4 นั้นมีด้วยกัน 3 แบบคือ แบบที่ 1 มีความเร็ว 1 Mbps ใช้สายข้อมูลแบบโคแอกเชียล 75 โอห์ม และสายเคเบิลหลักจะต้องไม่มีการต่อแยกแขนงออกไป ในแบบที่ 2 ซึ่งเรียกกันว่าแบบเบสแบนด์นั้นจะมีความเร็ว 5-10 Mbps ใช้สายแบบเดียวกับแบบที่ 1 แต่สัญญาณภายในจะเข้ารหัสแบบ FSK และแบบที่ 3 หรือ แบบบรอดแบนด์ จะใช้สายทรังก์ ซึ่งสามารถใช้ได้กับความเร็ว 1,5 และ 10 Mbps ซึ่งสัญญาณภายในสายจะเป็นแบบ AM นั้นเอง

3.2 โพรโตคอลที่ใช้ในระบบ LAN
          โพรโตคอล คือรูปแบบของการสื่อสารของเครือข่าย คอมพิวเตอร์ ที่ทำให้ Software มีความเข้ากันได้กับ Hardware โพรโตคอลนั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานโดย ISO ซึ่งเป็นโมเดลแบ่งออกได้ 7 ระดับคือ PHYSICAL, DATALINK, NETWORK, TRANSPORT, SESSION, PHESENTA และ APPLICATION ตามลำดับ ในระบบ LAN นั้นจะใช้เพียงสองระดับล่างเท่านั้น เนื่องจากว่า LAN สามารถใช้ได้กับ โทโปโลยี ได้หลายแบบนั้นเอง จึงไม่ได้ใช้ระดับที่ 3 ขึ้นไป ในระดับที่ 1 นั้นเป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเป็นบิต เกี่ยวข้องกับระดับแรงกันไฟฟ้า ความถี่ และคาบเวลา ต่างๆ ส่วนระดับที่ 2 นั้นเป็นระดับการแปลงข้อมูลเป็นบล็อก และเฟรม พร้อมทั้งตรวจสอบข้อผิดพลาดด้วย โพรโตคอลที่ใช้กันมากในระบบ LAN นั้นมีอยู่ 2 แบบคือโพรโตคอล แบบโทเก้นบัส และโพรโตคอลแบบ CSMA/CD เป็นต้น

3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
          ในระบบ LAN อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงนั้นมีไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อต่อเชื่อมโยงเครือข่ายเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 อย่างโดยทั่วๆ ไปดังนี้
3.3.1 สายนำสัญญาณ
3.3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN

.          3.1 สายนำสัญญาณ  สายนำสัญญาณ นับถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบเครือข่ายที่ทำให้คอมพิวเตอร์ มีการติดต่อสื่อสารกันในระยะทางที่ไกล สายนำสัญญาณ นั้นมีหลายชนิด มากมายในปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ตามคุณสมบัติของสาย สภาพการใช้งาน และความเหมาะสมการใช้งาน สายนำสัญญาณที่ใช้ในระบบ LAN นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นลักษณะต่างๆ คือ สายสัญญาณแบบคู่บิดเกลียวยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นชนิด UTP (Unshield Twisted Pair) เป็นสายคู่บิดเกลียว 4 คู่ใช้ยาวไม่เกิน 100 เมตร สายที่ใช้ แบคโบน นั้น เป็นสายขนาด 25 คู่สายในมัดเดียว รองรับการสื่อสารได้สูงถึง 100 Mbps และ ประเภทที่ 2 ชนิด STP (Shield Twisted Piar) เป็นสายพัฒนามาจากสาย UTP โดยมีชีลด์ห่อหุ้มภายนอก ใช้ข้อมูลการสื่อสารได้ 100 Mbps สาย STP ที่เป็นแบคโบน นี้เป็นสายที่ออกแบบมาให้ไปได้ระยะทางที่ไกลขึ้น สายโคแอกเชียล เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ใช้กันมากเป็นสายนำสัญญาญที่ป้องกันสัญญาณรบกวนได้มากทีเดียว สายชนิดนี้ในระบบบัส และใช้เดินระยะใกล้ๆ และ เส้นใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้คลื่นแสง 500 nM-1300nM ส่งผ่านไปยังตัวกลางใยแก้ว ซึ่งจะสะท้อนกลับภายใน ทำให้มีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก ทำให้ได้ระยะทางที่ไกลขึ้นขณะที่ใช้กำลังส่งที่น้อยและมีสัญญาณรบกวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับ สายนำสัญญาณชนิดอื่นๆ สายชนิดเส้นใยแก้วนำแสงนี้มักใช้เป็นแบคโบน โดยจะรองรับการสื่อสารได้สูงถึง 800 Mbps หรือมากกว่า แล้วแต่ล่ะชนิดที่นำมาใช้

          3.3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย  อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่ายนั้นมีด้วยกันมากมาย ด้วยคุณลักษณะของการใช้งาน แบบต่างๆ และยังคงได้รับการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN นั้นได้ยกตัวอย่างที่ พบกันมากดังต่อไปนี้ แผ่นการ์ดเครือข่าย เป็นแผ่นอินเตอร์เฟสสำหรับคอมพิวเตอร์ หรือแผ่นการ์ด NIC มีคุณสมบัติต่างที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่าย และชนิดของคอมพิวเตอร์ อีกด้วย ฮับ (HUP) เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงระหว่างสายตามมาตรฐาน 802.3 นั้นใช้เชื่อมโยงในโทโปโลยี แบบสตาร์ ใช้สาย UTP ยาวไม่เกิน 100 เมตร และยังสามารถขยาย PORT ได้มาก ดีรอมเซิร์ฟเวอร์ (CD-ROM Server) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในเครือข่ายเช่นเดียวกัน เพื่อใช้แบ่งปันการใช้ข้อมูลต่างๆ ใน CD-ROM เอง รีพีตเตอร์ (Repeater)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย เพื่อช่วยให้ขยายสัญญาณให้สูงขึ้น ทำให้ส่งข้อมูลหรือสื่อสาร ข้อมูลได้ไกลขึ้นนั้นเอง บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างระบบ โดยที่ บริดจ์ มีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือแบบ Internal Bridge และแบบ External Bridge เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคล้ายกัย Bridge แต่จะใช้เชื่อมต่อกับระบบที่ใหญ่กว่ามีประสิทธิภาพที่สูงกว่า และความเร็วที่สูงกว่า และ เราเตอร์ (Router) เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย ที่มีมากกว่า หนึ่งเซกเมนต์ เพื่อกำหนดเส้นทางข้อมูลได้มากขึ้น ต่อไป

3.4 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
          คือ ระบบปฏิบัติการเครือข่ายประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ สามส่วนผลิตภัณฑ์บางชนิด รวมสามส่วนไว้ในโปรแกรมเดียว บางชนิดก็ซับซ้อนกว่า แบ่งงานออกเป็นโมดูล ลายตัว ส่วนแรกเป็นส่วนประกอบอยู่ในระดับล่างสุด กับหน้าที่จัดเตรียมและดูแลการเชื่อมต่อให้คงอยู่ ซอฟต์แวร์ส่วนนี้ ประกอบด้วยโปรแกรม ไดรเวอร์ สำหรับเน็ตเวิร์คอแดปเตอร์ ส่วนที่เหลืออีกสองส่วนหนึ่งคือส่วนที่อยู่ในสถานีงานจะสร้างข่าวสาร การร้องขอ และส่งไปยังไฟล์เซิร์ฟเวอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN จากดาวถึง 2 โปรแกรม คือ Corbon Copy และ PC Anywhere โดยจะได้อธิบายถึงการทำงานและความสามารถของมัน Corbon Copy นั้นใช้งาน Novell LX และ NetBEUI ส่วน PC Anywhere เวอร์ชัน 4.5 ของบริษัท Norton นั้นเป็นภาพที่ทำงานด้วยเมนู มีการตรวจวิเคราะห์ Hard ware ที่คงอยู่ ลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ของโปรแกรมซึ่งจะเกี่ยวกับ การใช้ Hard disk เมื่อเวิร์กสเตชัน ต้องการใช้ข้อมูล ก็ส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อส่งให้ เซิร์ฟเวอร์ทำงาน แต่ในทางปฏิบัติงาน NetWare กระบวนการในการลำดับงานไม่สามารถกำหนดระดับ ความสามารถ ของงานได้ ดังนั้น งานที่มีการใช้งาน Hard disk มากๆ จะมีผลทำให้ การบริการกับงานอื่นๆ ช้าลงอย่างชัดเจน โปรแกรมที่เหมาะกับระบบ LAN ก็คือ ระบบงานที่ในลักษณะ Client Server ซึ่งจะเป็นการทำงานที่สมบูรณ์ที่สุด

4. ผลที่ได้จากการทำงานของระบบ LAN
          การจัดการแฟ้มข้อมูล (File managent) เป็นการแบ่งใช้แฟ้มข้อมูล (Share file) และสอบถามแฟ้มข้อมูล (Transfer file) การใช้โปรแกรมร่วมกัน (Share application)การใช้อุปกรณ์ภายนอกร่วมกัน (Share Peripheral devices) เป็นเครื่องพิมพ์, ซีดีรอม, เครื่องสแกน,โมเด็มและเครื่องอ่านเขียนเทป และติดต่อกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ในเน็ตเวิร์คเป็นค่าตารางเวลาของกลุ่ม (Group Scheduling)รับ และส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ จัดการประชุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเล่นเกมแบบเน็ตเวิร์ค และผลที่ได้จากระบบแลนนี้จะสามารถทำทุกอย่างทัดเทียมกับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์ในราคาที่ต่ำกว่า ผู้ใช้สามารถแบ่งปันทรัพยากร และสารสนเทศของคอมพิวเตอร์ และพวกเขายังสามารถทำงานรวมกันในโครงการหรืองานที่ต้องมีการประสานงาน และการติดต่อสื่อสาร แม้จะไม่ได้อยู่บริเวณใกล้กันก็ตาม นอกจากนี้ถ้าเครือข่ายเกิดขัดข้อง คุณก็ยังคงทำงานต่อไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาถ้าเกิดการผิดปกติจะทำให้งานในแผนกหรือบริษัทของเขาหยุดชะงัก แต่แลนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ คือ
  1. แบ่งปันการใช้ไฟล์โดยการสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆตัวได้
  2. การโอนย้ายไฟล์ โดยการโอนสำเนาจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องหนึ่งโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนดิสเกตต์
  3. เข้าถึงข้อมูล และไฟล์ โดยการจะให้ใครก็ได้ ใช้งานซอฟต์แวร์บัญชี หรือ แอปพลิเคชั่นแลน ทำให้คนสองคนใช้โปรแกรมชุดเดียวกันได้
  4. การป้องกันการป้อนข้อมูลเข้าในแอปพลิเคชั่นพร้อมกัน
  5. แบ่งปันการใช้เครื่องพิมพ์ โดยการใช้แลน เครื่องพิมพ์ก็จะถูกแบ่งปันการใช้ตามสถานีหลาย ๆเครื่องถ้าทั้งหมดที่ต้องการคือ การใช้ Printerร่วมกัน

5. แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN
          แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN ต่อไปนี้สิ่งที่คุณควรทราบระบบปฏิบัติการแลนหลัก ๆ ล้วนแต่เร็วพอสำหรับความต้องการใด ๆ ในทางปฏิบัติขององค์การ ความเร็วเป็นเพียงปัจจัยส่วนน้อยในการเลือกระบบปฏิบัติการเครือข่าย ระบบปฏิบัติการกำลังมีความเข้ากันได้และทำงานได้มากขึ้น Net Ware ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดและห่างจากคู่แข่งมาก Windows NT ของ Microsoft เป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวสำหรับ Net Were ผลิตภัณฑ์บนฐานของ Dos เช่น LANtastic และ POWERlan มีอนาคตที่ไม่สดใส เนื่องจากการทำเครือข่ายถูกสร้างไว้ใน Microsoft Windowsขนาดของตลาด และศักยภาพในการทำกำไรทำให้การแข่งขันระหว่างผู้ค้าระบบปฏิบัติการแลนเป็นไปอย่างดุเดือด Novell ผู้ซึ่งครอบส่วนแบ่งตลาด 70 เปอร์เซ็นต์ของเครือข่ายสำหรับพิธี ไม่ใช้ผู้เล่นเพียงคนเดียวอีกต่อไป แม้ว่าบริษัทที่ขายระบบปฏิบัติการเครือข่ายอื่นยังไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Novell ได้มากนักทุกรายก็กำลังทุ่มเทเงินให้กับทำการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองโดยมี Microsoft เป็นผู้นำ
          ในปี 1989 ผู้ค้าระบบปฏิบัติการเครือข่าย ได้เติมเชื้อเพลิงให้กับการเติบโตของเครือข่ายด้วยการประกาศและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ทำตามมาตรฐานเปิดเทนโปรโตดอลเฉพาะตัว ATOT, Digital และ 3COM นำอุตสาหกรรมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการทำงานร่วมกันตามมาตรฐานเปิด แทนที่จะต้องลงบันทึกเข้าและควบคุมแต่ละบัญชีด้วยมาตรฐานการสื่อสารเฉพาะตัว พวกเขาล่อใจผู้ซื้อด้วยซอฟต์แวร์ที่ทำงานตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติในทศวรรษ 1990 บริษัทในตลาดที่ยังคงให้ผู้ซื้อด้วยความเข้าใจกันและความสามารถในการทำงานร่วมกันเพิ่มขึ้น แนวโน้มนี้ไปไกลจนกระทั่งเดี๋ยวนี้บริษัทไม่เพียงสนับสนุนมาตรฐานเปิดเท่านั้น พวกเขายังส่งซอฟต์แวร์สำหรับโพรโตคอล เฉพาะตัวของกันและกัน Microsoft ได้ยอมรับเอาโพรโตคอล IPX ของ Novell เป็นโพรโตคอลเครือข่ายโดยปริยายสำหรับ Windows NT Performance Technology และ Artisoft ได้กลายเป็นไดล์เอนต์สำหรับระบบปฏิบัติการเครือข่ายทุกตัว และ Novell กำลังรุกไล่การเชื่อมต่อของ UNIX
          ในทางปฏิบัติ การสนับสนุนหลายโพรโตคอลหมายความว่า ผู้บริหารสามารถปรับแต่งพีซีบนเครือข่ายเพื่อให้ไดร์ฟ F: ของ Dos เป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ของแต่ละเครื่อง ความสามารถนี้มีให้ใช้แล้วในปัจจุบัน แต่ล้วนประกอบต่าง ๆ ต้องถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง
          ความสามารถในการทำงานร่วมกันและความยืดหยุ่นที่ปรับปรุงขึ้นเป็นเป้าหมายหลักทางการตลาดและทางเทคโนโลยี สำหรับบริษัทซอฟต์แวร์เครือข่ายในกลางทศวรรษ 90 เช่นเดียวกับที่คุณสามารถผสมอแดปเตอร์ Ethernet จากผู้ค้าต่างกันได้ คุณจะสามารถผสมส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่างกันบนเครือข่ายเดียวกัน ทุกตัวให้บริการแก่ไคลเอนต์เดียวกัน
          ในปัจจุบันนี้ ระบบเครือข่ายแลนได้เป็นที่รู้จัก และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตาม office ของบริษัทต่าง ๆ เพื่อประหยัดในการลงทุนซื้อเครื่องปริ้นเตอร์, ซีดีรอม, โมเด็ม, เครื่องโทรสาร และรวมไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะสามารถแบ่งปันกันใช้ได้ บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบแลน ต่างก็แข่งขันกันในตลาดคอมพิวเตอร์ต่างก็พัฒนาให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ควรจะรู้จัก และเข้าใจในระบบแลนให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะติดตั้งระบบแลนเองบ้าง เพื่อจะได้คุณภาพ และประสิทธิภาพตามที่เราต้องการ









อ้างอิง
http://www.yupparaj.ac.th/CAI/Network/introlan.htm

ข้อมูล Aircard

Option iCON515M USB Modem 


        
   Option iCON 505M : USB Modem รุ่นใหม่ความเร็วสูง design สุดเฉียบจาก Option Wireless
           iCON 505M เป็น USB Modem รุ่นใหม่จาก Option Wireless ทีรองรับ 3G (HSPA+) ที่ความเร็วสูงสุดถึง 14.4Mbps ตัวmodemออกแบบมาได้อย่างสวยงาม ทำจากวัสดุคุณภาพดี และงานประกอบอย่างดี ซึ่งเป็นจุดเด่นของสินค้า จาก Option Wireless ทุกชิ้น เพราะบริษัทอยู่ในประเทศ Belgium และaircard ทุกชิ้นจะถูกผลิตในประเทศ Ireland ทำให้สินค้าจาก Option ทุกชิ้นมีคุณภาพดี และทันสมัย
     คุณสมบัติ : เป็น USB 3G Modem ( USB AirCard )

- รองรับระบบ Edge / GPRS (class 12) ของ AIS, DTAC, True และ TOT

- รับ/ส่ง SMS ได้

     ขนาดของ AirCard : 6.01ซม. x 2.81ซม. x 1.66ซม. (ยาว x กว้าง x สูง) / หนัก 29 กรัม

     รองรับระบบ3G : 3G ความถี่ 900, 2100 (คลื่น 2100 จะเป็นของ TOT ปัจจุบันเล่นได้ ในเขตกรุงเทพ และพื้นที่รอบนอก ผู้ให้บริการ AIS DTAC และ True จะให้บริการ 3G บนคลื่น 2100 ในอนาคตอันใกล้นี้)

     ความเร็วสูงสุด : 3G (HSPA+) Download 14.4Mbps / Upload 5.76Mbps

     การประกัน : ประกัน 1ปี เสียมีตัวสำรองให้ทันที
   Option iCON515M USB modem ใช้ได้กับ : Windows XP, Vista, 7 (32 & 64 bit) / Mac OS / Linux

     จุดเด่น : Option iCON 505M จะมี Memory ในตัว 118MB เพื่อเก็บProgram ต่างๆของผู้ให้บริการ ตัวcardออกแบบมาอย่างสวยงาม ทำจากวัดสุชั้นดี งานประกอบสุดเนียบ และยังเป็น Aircard ที่รองรับระบบ 3G (HSPA+) ที่ความเร็วสูงถึง 14.4Mbps (ปัจจุบัน TOT ให้บริการ 3G ที่ความเร็ว 14.4Mbps แล้วในบางจุดของกรุงเทพ) และตัว card จะมี driver อยู่ภายใน สามารถนำไปใช้กับ computer ได้ทุกเครื่อง ไม่ต้องพึ่ง CD driverเสารับสัญญาณคุณภาพสูง พร้อมระบบ Rx Diversity เสริมความสามารถในการรับสัญญาณ 3G

     ราคา : 2,000 บาท ( ของใหม่ จากอเมริกา / กล่อง Original Box ยังไม่แกะ )





          Zalip CDG561AM 3G Router คุณภาพสูงจากประเทศ Taiwan ที่นำเอา Wireless Router มารวมเข้ากับ GSM Moudule ทำให้สามารถใส่ Simcard เพื่อรองรับสัญญาณ GPRS, EDGE หรือ 3G จากผู้ให้บริการมือถือได้ พูดให้เข้าใจง่าย ตัว Router CDG561AM นี้จะมีช่องไว้ให้ใส่ Simcard ในตัว เพื่อรับสัญญาณ internet จากผู้ให้บริการ AIS, DTAC, True หรือ TOT และกระจายสัญญาณผ่านระบบ Wi-Fi
          3G Router จาก Zalip นี้จะมีราคาค่อนข้างประหยัดกว่าสินค้าจาก Europe อย่าง GlobeSurfer III ของ Option Wireless ถึงจะมีการลดทอน functions บางอย่างลง แต่ก็มี Function พื้นฐานของ Wireless Router ทั่วไปครบถ้วน ที่สำคัญ CDG561AM รองรับระบบ 3G ครบทุกเครือข่ายทั้งคลื่น 850/1900/2100 และรองรับ Wireless N ที่เป็น technology ใหม่ล่าสุด



Zalip CDG561AM 3G Router Access Point

       จากรูปด้านบน ด้านหลังตัวเครื่องจะมี LAN 4 Port, WLAN 1 Port และที่เหลือจะเป็นช่องสำหรับใส่ Simcard และ Adapter ต่อไฟบ้าน
      คุณสมบัติ : เป็น Wireless 3G Router

ใช้รับสัญญาณ 3G / Edge / GPRS ของ AIS , DTAC ,True และกระจายสัญญาณ internet แบบ Wireless ( Wi-Fi ) หรือสาย Lan

Wiresless LAN interfaces : IEEE 802.11b/g/n (Draft 2.0) / WEP, WPA, WPA2, WPS, WDS WMM

Functional : PPP, PPPoE, DHCP client, Sttic PI, PPTP, L2TP, Wirtual server, DMZ, IP Filter, MAC control, DoS, SNMP, UPnP IGD, syslog

- มีระบบ Firewall ในตัว

     รองรับระบบ GSM :
EDGE / GPRS 850 / 900 / 1800 / 1900 Mhz
3G (HSPA) ความถี่ 850 / 1900 / 2100 Mhz ของ AIS DTAC True และ TOT

    ความเร็วสูงสุด : 3G ( download 7.2 Mbps , Upload 5.76Mbps) / EDGE : 247 Kbps

   การรับประกัน : ประกัน 2ปี เสียมีตัวสำรองให้ระหว่างซ่อม

   ราคา : 7,900 บาท










Mi-Fi 2352 Wi-Fi hotspot access point 

          MiFi 2352 : Mobile Wireless Router ( Mobile HotSpot ) แบบพกพาตัวแรกของโลก นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก Novatel Wireless ประเทศอเมริกา สามารถรับสัญญาณ GPRS EDGE หรือ 3G (HSPA) จาก SimCard ของผู้ให้บริการ AIS DTAC หรือ True และกระจายสัญญาณผ่านระบบ Wi-Fi และด้วยขนาดตัวเครื่องที่เล็ก และใช้ Power จาก Battery จึงสามารถพกพาไปได้ทุกที่ ทำให้เข้าถึง Internet ได้ทุกเวลาที่ต้องการ
MiFi 2352 สามารถตอบสนองความต้องการใช้งาน Internet ได้หลายรูปแบบ เช่น
- ผู้ใช้ Notebook หรือ NetBook ที่มีขนาดเล็กและ Port USB น้อย ไม่สะดวกในการใช้ AirCard
- ต้องการใช้งาน Internet พร้อมกันหลายๆเครื่องทั้งที่บ้านและที่ทำงาน แต่ไม่ต้องการซื้อ AirCard หลายเครื่อง
- มีอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ Internet ผ่านระบบ Wi-Fi อื่นๆเช่น กล้องDigital เครื่องเกมส์ มือถือ IPod ฯลฯ แต่ไม่ต้องการซื้อ Router มา setup ให้ยุ่งยาก การทำงานของ MiFi มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงแค่ใส่ SimCard ที่เปิดบริการ Internet แล้วของ AIS, DTAC หรือ True เข้าไปที่ตัวเครื่อง และมี Password ขึ้นมาที่ด้านหลังของตัวเครื่อง จากนั้นอุปกรณ์ตัวไหนต้องการต่อ Internet เพียงแค่ใช้ Password ตัวนี้เชื่อมต่อเข้า MiFi ผ่านระบบ Wireless (Wi-Fi) ก็สามารถเล่น Internet ทันที
MiFi 2352 Award MiFi 2352 ยังสามารถไปคว้าเอารางวัลจากงาน International CTIA WIRELESS 2009 ซึ่งเป็นที่ 1 ในหัวข้อ Mobile CE - Fashion & Lifestyle Products จากสินค้ากว่า 300 รายการ แถมรายการข่าว CNBC ยังเชิญตัวผู้บริหารไปแนะนำรายละเอียดของ MiFi 2352 ผ่านในรายการ และล่าสุดยังได้รับรางวัล Editor Choice 2008 & 2009 จากนิตยาสาร PC World

          คุณสมบัติของ MiFi 2352

         รองรับระบบ : GPRS EDGE ของ AIS DTAC True และ TOT

         รองรับระบบ 3G ( HSPA ) : ความถี่ 900 , 1900 และ 2100 Mhz ( ความเร็วสูงสุด Download 7.2Mbps / Upload 5.76Mbps )

- รับสัญญาณ GPRS EDGE และ 3G ( HSPA ) จากSimCardระบบ GSM ( AIS DTAC TOT และ True ) และกระจายผ่านระบบ Wireless (Wi-Fi)

- พกพาสะดวกด้วยขนาดเพียง 6.2ซม. x 9.8ซม. x 1.5ซม. (กว้าง x ยาว x สูง)

- เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่รับสัญญาณ Wi-Fi ได้พร้อมๆกันได้ 5 เครื่องMi-Fi 2352 Wi-Fi hotspot access point

- กระจายสัญญาณ Wi-Fi ในรัศมี 10 เมตร

- เล่นต่อเนื่องได้นาน 4 ชั่วโมงต่อการ Charged 1 ครั้ง (charged ผ่าน USB port)

- ใช้ Power จาก Battery Li-ion (ถอดเปลี่ยนได้) หรือ MicroUSB port

          WLAN : DHCP Server / NAT/NAPT / DNS / VPN

          Slot ใส่ MicroSD : สูงสุด 16GB สำหรับ Share file

          GPS Chipset ในตัว : ใช้ร่วมกับแผนที่นำทางเช่น Garmin, iGO etc เพื่อระบุตำแหน่งและนำทางผ่าน Notebook

          การรับประกัน : ประกัน 1ปี เสียมีตัวสำรองให้ระหว่างซ่อม

          ราคา : 8,500 บาท ( ของใหม่ยังไม่แกะกล่อง )

อ้างอิง
http://www.aircardshop.com/

บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น

  • Remember the Human
กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”
  • Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันแบบออนไลน์
  • Know where you are in cyberspace
กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ
  • Respect other people's time and bandwidth
กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด
  • Make yourself look good online
กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง
  • Share expert knowledge
กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
  • Help keep flame wars under control
กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”
  • Respect other people's privacy
กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่นไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น เป็นต้น
  • Don't abuse your power
กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
  • Be forgiving of other people's mistakes
กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล





อ้างอิง
http://cc.swu.ac.th/ccnews/content/e1624/e1950/e3918/e3949/index_th.html